‘ดิวอี้’ นักดนตรีตกอับที่โดนไล่ออกจากวง และกำลังจะไม่มีที่ซุกหัวนอนถ้าหาเงินมาจ่ายค่าเช่าให้เพื่อนสนิทไม่ได้ตามคำสั่งของแฟนเพื่อน ดันจับพลัดจับผลูไปเป็นอาจารย์สอนพิเศษเพราะจะได้ค่าตอบแทนเป็นเงินก้อนโต ก่อนจะพบว่านักเรียนของเขามีพรสวรรค์ด้านดนตรี จึงวางแผนตั้งวงร็อกกับเด็ก ๆ เพื่อไปแข่งดนตรีและเอาเงินรางวัลทั้งหมดมา
แม้จะผ่านมาถึง 20 ปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่ได้เห็นโปสเตอร์ของ School of Rock ที่ออกฉายปี 2003 โดยมี Jack Black โพสท่าโซโล่กีตาร์พร้อมมองมาที่เรา เชื่อว่าหลายคนคงจะอดยิ้มไม่ได้เพราะนั่นทำให้เรานึกถึงหลาย ๆ ซีนแห่งความทรงจำ
ทั้งตอนที่ ดิวอี้ ตัวเอกของเราเล่นดนตรีกับเด็ก ๆ ตอนครูใหญ่เมาแล้วเต้นเพลง Stevie Wonder หรือโชว์ในตอนท้ายของเรื่อง ที่ตราตรึงไม่แพ้วงร็อกจริง ๆ
แต่สิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้ยังมีชีวิตชีวาอยู่ในความทรงจำของคนชอบฟังเพลงทุกคนตลอดมา คือนอกจากมันจะเป็นหนังที่ขับเคลื่อนด้วยเสียงดนตรี และมีเพลงร็อกเท่ ๆ จากยุคนั้นมากมาย School of Rock ยังเป็นหนังที่พูดถึงความฝันของศิลปิน การที่คนอื่นเห็นคุณค่าในตัวเรา การถูกยอมรับจากคนสำคัญของเรา ซึ่งเป็นสิ่งที่ศิลปินหรือแม้แต่คนทั่วไปก็ปรารถนาจะได้รับมากที่สุดเหมือนกัน
เราได้เห็นพัฒนาการของดิวอี้ หรือ Jack Black ตลอดทั้งเรื่อง ในตอนแรกเขาคือคนเห็นแก่ตัวที่ทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองได้เป็นร็อกเกอร์ ทั้งการโซโล่ 20 นาทีเพื่อให้คนประทับใจและจดจำเขาได้โดยไม่แคร์โชว์ของวงตัวเอง หรือการปลอมเข้าไปเป็นครูเพื่อเอาเงินมาใช้ส่วนตัว หรือการหลอกเด็ก ๆ ให้มาทำวงด้วยกันเพื่อจะชนะและเชิดรางวัลไปในช่วงต้นเรื่อง
จนกระทั่งเขาได้เห็นเด็ก ๆ เล่นดนตรี แม้จะยังไม่รู้ตัวในตอนแรก แต่เขากลับเห็นตัวเองในเด็กเหล่านี้ เขาพบพรสวรรค์ในการเล่นดนตรีในตัวเด็ก ๆ แต่กลับไม่ได้รับการยอมรับจากโรงเรียนหรือพ่อแม่ เหมือนที่เขาเชื่อว่าตัวเองก็มีพรสวรรค์ในดนตรีร็อกแต่ไม่มีคนเห็นเหมือนกัน เขาจึงค่อย ๆ แนะนำให้เด็ก ๆ เริ่มขบถในวิถีทางที่คนอื่นบอกว่าพวกเขาควรเป็นใคร แน่นอน ก็ผ่านเพลงร็อกไง!
เราค่อย ๆ เห็นดิวอี้เติบโตและมีความเป็นครูมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยความที่ยังเป็นเด็กก็มีหลายครั้งที่นักเรียนของเขาต้องการเพียงความมั่นใจไม่กี่ประโยคจากคนที่พวกเขานับถือ ซึ่งดิวอี้ก็ทำหน้าที่ในแบบของเขาได้ดีมาก
ซีนที่ประทับใจที่สุดซีนหนึ่งของหนัง คือตอนที่ ‘โทมิกะ’ น้องจ้ำม่ำผิวสีเสนอตัวว่าไม่อยากเป็นคนยกของ แต่อยากจะร้องเพลง ดิวอี้ไม่มีคำถามที่ตัดสินอะไรเธอทั้งนั้น แค่บอกให้เธอร้องเลย และเธอได้โชว์ความสามารถของเธอจนทุกคนต้องตะลึง ดิวอี้ก็ให้เธอร้องทันที
แต่เมื่อใกล้ขึ้นเวที โทมิกะกลับรู้สึกตื่นเวทีขึ้นมา เพราะกลัวว่าทุกคนจะล้อที่เธอไม่สวย แต่ดิวอี้ก็ยกตัวอย่าง Aretha Franklin นักร้องผิวดำที่ได้ชื่อว่า ‘Queen of Soul’ ซึ่งเธอก็มีรูปร่างเหมือนกัน ดิวอี้ก็ย้ำว่าโทมิกะมีสิ่งที่คนอื่นไม่มีคือพรสวรรค์ แล้วจะแคร์คนที่มองว่าเธออ้วนทำไม ซึ่งทำให้โทมิกะมีความมั่นใจมากขึ้น
ในตอนสุดท้าย วง School of Rock ก็ชนะการประกวด ไม่ใช่เพราะดิวอี้คือร็อกเกอร์ที่เก่งที่สุด แต่พวกเขาได้พิสูจน์แล้วว่า แม้การเป็นศิลปินไส้แห้งจะต้องเต้นกินรำกินไปวัน ๆ แต่เพลงร็อกก็พาให้คนที่ฝันเหมือนกันได้มาเจอกัน และทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่สุด ๆ ได้โดยที่เจ้าตัวก็นึกไม่ถึงเหมือนกัน ฝันที่ไม่กล้าฝัน
นอกจากตัวดิวอี้เองแล้วยังมีพล็อตรองอีกหลายส่วนที่น่าสนใจ เช่น ‘แฟรงคิน’ มือกลองของวงที่อยากเท่แบบวงร็อกก็เลือกที่จะเข้าหาและใช้เวลากับพวกวงร็อก โดยที่ดิวอี้ก็บ่นว่าพวกที่ใช้ชีวิตเละเทะเมามายไม่ใช่ร็อกเกอร์ตัวจริง ร็อกเกอร์ตัวจริงเขาตั้งใจทำเพลงเพื่อให้ได้โชว์ที่สุดยอดต่างหาก
หรือ ‘เน็ด’ เพื่อนสนิทของดิวอี้ก็เป็นตัวละครอีกตัวหนึ่งที่สำคัญสำหรับคนดู บางคนอาจเห็นตัวเองในตัวละครตัวนี้ที่คอยบอกตัวเองว่าต้องทำตัวเป็นผู้ใหญ่ หางานทำ และมีชีวิตที่ดีกว่านี้ให้ได้ พร้อมทิ้งแพชชั่นทางดนตรีของตัวเองไป ในบทสรุปของเรื่อง เน็ดก็ทิ้งแฟนจอมบงการของเขาแล้วกลับมาเล่นดนตรีอีกครั้ง อาจจะเหมือนความฝันเกินไปสำหรับบางคน แต่ถ้าต้องมีชีวิตอยู่โดยไม่ได้ทำในสิ่งที่ชอบ มันไม่ใช่ชีวิตจริง ๆ หรอก
นอกจากเนื้อเรื่องที่โดนใจเหล่านักดนตรีแล้ว หนังเรื่องนี้ยังเป็นบทเรียนเรื่องวงร็อก 101 ได้เลย เพราะแต่ละเพลงที่ใส่เข้ามา มีแต่เพลงของวงร็อกระดับโลกในยุคนั้นที่ดังมาจนถึงยุคนี้จริง ๆ
ขนมาทั้ง The Clash, The Black Keys , The Who, AC/DC และตำนานอย่าง Led Zeppelin ที่เพลง ‘Immigrant Song’ ถูกใช้เป็นเพลงปิดของหนัง ซึ่ง Jack Black เล่าให้ฟังทีหลังว่า เขาเป็นคนอัดคลิปไปขอวงให้ใช้เพลงนี้ในหนังเอง ซึ่งวงนี้ขึ้นชื่อว่าไม่เคยอนุญาตให้ใครนำเพลงของพวกเขาไปใช้ในสื่อใด ๆ แต่ในคลิป Jack Black ใช้คนจำนวนมากคอยยืนเชียร์ระหว่างขอร้องวงด้วย ทำให้พวกเขาใจอ่อนและยอมให้นำไปใช้เป็นฉากปิดของหนัง ซึ่งวีดีโอตัวนี้มีใส่ไว้ใน DVD เบื้องหลังของหนังเรื่องนี้ด้วย
ระหว่างที่เรายังยึดติดกับเวอร์ชันปี 2003 นั้น School of Rock เองก็ถูกนำไปสร้างเป็นซีรีส์ถึง 3 ซีซันด้วยกัน แถมยังมีเวอร์ชั่นละครบรอดเวย์ในแบบมิวสิคัลออกมาอีกด้วย ซึ่งผลตอบรับก็ดีมาก แต่ยังไงทุกคนก็ยังคิดถึงนักแสดงชุดดั้งเดิมอยู่ดี
Jack Black เองก็เคยให้สัมภาษณ์อยู่บ่อย ๆ ว่าหนังเรื่องนี้คือจุดพีคในชีวิตของเขาจริง ๆ และมันมีความหมายกับเขามาก ซึ่งนักแสดงทุกคนเคยกลับมา reunion กันตอนครบรอบ 10 ปี พร้อมกลับมาขึ้นเวทีด้วยกันอีกครั้งและเล่นเพลงของ AC/DC
แม้จะผ่านมา 20 ปี แต่กลับไปดูซ้ำกี่ครั้งก็ยังอิ่มใจชาวร็อกได้ทุกครั้ง แล้วทุกคนชอบซีนไหนในหนังเรื่องนี้ที่สุดล่ะ มาแชร์กันหน่อย
For Who High วงร็อกเลือดใหม่ ปลดปล่อยอารมณ์เกรี้ยวกราดของวัยรุ่นใน EP แรก ‘The Misfits’
Flowers For Daryl เบ่งบานบนเส้นทางร็อกในอัลบั้มเต็ม ‘A Blessing in Disguise’