เพื่อรำลึกถึงชีวิตอันผาดโผนในฐานะศิลปิน และสิ่งที่ Tina Turner ทิ้งไว้ให้กับคนฟังเพลงทั่วโลก เพราะฉายา ‘Queen of Rock ‘n’ Roll’ ไม่ได้ได้มาเพราะโชคช่วย แต่การแสดงอันน่าตื่นตา เสียงอันทรงพลังและจิตวิญญาณที่ไม่เคยยอมใครของเธอได้ขีดเขียนอะไรไว้หลายอย่างบนประวัติศาสตร์ดนตรีโลก และยังสร้างแรงบันดาลใจให้ศิลปินรุ่นใหม่อยู่ตลอดเวลา
เราจึงอยากพูดถึง 5 เพลงอมตะที่จะทำให้เธออยู่ในใจทุกคนไปตลอดกาล ตั้งแต่บัลลาดอันเร้าร้อนไปจนถึงเพลงอัพบีทเต้นกระจาย ซึ่งฉายพรสวรรค์และความสามารถที่ไม่เหมือนใครของเธอได้ดีที่สุด
“A Fool In Love” (1960)
เพราะนักร้องเจ้าของเพลงนี้ไม่มาอัดตามนัด ทำให้ Ike เลือกแฟนสาว Tina Turner มาเป็นคนอัดเดโมเพลงนี้แทน แต่มันไม่ได้สร้างความประหลาดใจแค่กับทีมบันทึกเสียงเท่านั้น แม้แต่เทคโนโลยีและความดิบของการบันทึกก็ไม่อาจลดทอนพลังเสียงอันเร้าร้อนของเธอได้ ทำให้เจ้าของค่ายเพลงก็ตระหนักคือความสามารถของเธอได้ทันที ก่อนจะจับนักร้องโนเนมแบบเธอเซ็นสัญญาทันทีแล้วดันเป็นนักร้องแถวหน้าในเวลาไม่นาน
“Proud Mary” (1970)
ทุกคนที่พูดถึง Tina Turner เพลงนี้มักจะเป็นเพลงแรก ๆ ที่หลายคนนึกถึง ซึ่งจริง ๆ เป็นเพลงของ John Fogerty แต่ Tina ช่วยยกระดับเพลงนี้ในแบบของเธอได้น่าสนใจมาก นี่คือตัวอย่างของการคัฟเวอร์เพลงที่ยังเคารพต้นฉบับและทำได้ดีกว่าเดิมด้วย เธอทำลายความดุร้ายและการเรียกร้องความสนใจจากผู้ฟังทิ้งไป และตีความเพลงนี้ใหม่ ด้วยแนวคิดการละทิ้งความเจ็บปวดที่รุมเร้าเบื้องหลังเพื่อโอบรับชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งทำให้เธอรับมือการหย่าร้างกับ Ike ได้ และเพลงนี้ก็พาเธอขึ้นอันดับ 4 ชาร์ต Billboard แถมยอดขายกว่า 1 ล้านชุด และคว้ารางวัลแกรมมี่ 8 สาขาครั้งแรกในชีวิต
“What’s Love Got to Do With It” (1984)
แม้จะเป็นเพลงที่ Tina Turner เกลียดที่สุด แต่มันปฎิเสธไม่ได้ว่าเพลงนี้ช่วยให้เธอกลับเข้ามาอยู่ในวงการดนตรีแถวหน้าได้อีกครั้งหลังจากชีวิตศิลปินอยู่ในช่วงขาลงและชื่อของเธอก็หายไปจากชาร์ต Billboard มานาน ซึ่งเธอให้เหตุผลว่ามันป๊อปเกินไปสำหรับจิตวิญญาณร็อกแอนด์โรลของเธอ แต่เนื้อหาก็ยังซึ้งกินใจและมีพลังมากพอจะทำให้คนฟังต้องหลั่งน้ำตาได้ทุกครั้งที่ได้ยิน และเพลงนี้ก็พารางวัลแกรมมี่ 3 สาขากลับมาให้เธอด้วย
“Private Dancer” (1985)
ลีดซิงเกิ้ลจากอัลบั้มที่ Tina Turner กลับมาหลังจากหย่ากับสามี Ike ที่เคยเป็นคู่หูในการทำเพลงมาตลอด ‘Private Dancer’ คือเพลงแรกที่เธอทำเองคนเดียว เพลงเล่าถึงโสภาณีที่รู้ว่าตัวเองทำอะไรอยู่ และต้องยิ้มสู้กับคำดูถูกมากมาย มันเข้าถึงอารมณ์ Tina มาก ๆ ถึงกับเคยให้สัมภาษณ์ว่า ทุกคนล้วนมีช่วงเวลาที่ต้องขายตัวตนของตัวเองซักครั้งในชีวิต ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม ยอดฟังหลายสิบล้านในเวลาไม่นาน และเพลงนี้คือการชูนิ้วกลางใส่ทุกคนในวงการดนตรีที่ตั้งแง่ว่าเธอไม่มีทางไปรอดแน่ ถ้าไม่มี Ike คอยช่วย
“The Best” (1989)
น่าเสียดายที่เวอร์ชั่น Bonnie Tyler ไม่ได้ทำให้คนฟังประทับใจได้ขนาดนั้น ก่อนที่ Tina จะมาเจอเพลงนี้ และใส่องค์ประกอบความซาวด์ 80’ ลงไป ทั้งกีตาร์และคีย์บอร์ดซินธ์ กับท่อนโซโล่แซกโซโฟนที่ชนะใจทุกคนทันทีในครั้งแรกที่ได้ฟัง แต่เสียงของ Tina เนี่ยแหละ ที่เติมชีวิตชีวาให้กับเพลงนี้ได้อย่างที่ไม่มีใครทำได้ ซึ่งกลายเป็นอีกเพลงที่อยู่ในทุกโชว์ของเธอเลย