Arctic Monkeys Live in Bangkok 2023 รีวิวคอนเสิร์ตของวงดนตรีที่ทุกคนรอคอยที่สุดแบบจริงจัง

Arctic Monkeys Live in Bangkok 2023 รีวิวคอนเสิร์ตของวงดนตรีที่ทุกคนรอคอยที่สุดแบบจริงจัง

Story Montipa Virojpan
Photos Nuttakorn Kraivichien, Gandit Panthong, Cheer Nattapat

Arctic Monkeys คือหนึ่งในวงดนตรีที่เรียกได้ว่า คนรุ่นเดียวกันกับผู้เขียนน่าจะโตมาพร้อมกับเพลงของพวกเขาตั้งแต่อัลบั้มชุดแรก แต่จนออกอัลบั้มมาแล้วถึง 7 ชุด วงก็ไม่มีวี่แววว่าจะได้เฉียดมาเล่นที่ประเทศไทย ทำให้ก่อนหน้านี้หลายคนระหกระเหินเดินทางไปดูกันที่ต่างประเทศกันหมด รวมถึงเราเองด้วย

โปสเตอร์ Arctic Monkeys Asia Tour 2023

แต่ในปี 2023 ที่วงปล่อยอัลบั้มล่าสุด ‘The Car’ ออกมา พวกเขาก็ใส่ประเทศไทยไว้ในตารางทัวร์ในที่สุด ทว่าความตื่นเต้นดีใจของชาวไทยก็มาพร้อมกับความเครียด เพราะโชว์ในประเทศที่ควรจะได้ดูในราคาเอื้อมถึงกลับต้องควักเนื้อจ่ายบัตรราคาเริ่มต้นครึ่งหมื่น (ที่ควรจะเป็นราคาแพงสุด) ไปจนถึงเกือบหมื่น แฟนเพลงบางส่วนที่งบเหลือ ๆ เลยตัดสินใจบินไปดูงานประเทศเพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์แทน หรือไม่ก็เลือกไปงาน Clockenflap ที่ฮ่องกงซึ่งค่าบัตรพอ ๆ กัน แต่ปริมาณวงก็คุ้มกว่าเป็นไหน ๆ จ่ายเพิ่มค่าเครื่อง ค่ากินอยู่ แล้วก็ได้เที่ยวด้วยหลังจากเปิดประเทศ ดังนั้นชาวไทยอย่างเราที่เก็บเงินไม่ทันเลยกลั้นใจซื้อบัตรราคา Impact Arena ไปดูงานจัดที่ฮอล BITEC บางนา เพราะก็อยากฟังเพลงในชุด ‘The Car’ สด ๆ ด้วยในใจที่คิดว่าวงไม่น่าเอาเพลงชุดนี้ไปเล่นในทัวร์ต่อ ๆ ไปบ่อยเท่าเพลงฮิตจากชุด ‘AM’

9 มีนาคม 2566

เรามาถึงงานตอนประมาณหกโมงเพราะในตารางแจ้งว่าประตูจะเปิดช่วงนั้น แต่ประตูที่บอกไม่ใช่ประตูเข้าฮอลคอนเสิร์ต เหมือนเปิดแค่โซนด้านนอก คนดูที่แลกโปสเตอร์ ซื้อเมิร์ชอะไรกันเสร็จก็มานั่งต่อคิวรอเข้าฮอลกันแน่นขนัด ขณะที่เรากำลังหาทางเดินไปแลกริสต์แบนด์ ก็ต้องเดินฝ่าฝูงชนไปหาหางแถวแบบงง ๆ ไม่รู้อันไหนรอแลกบัตร อันไหนรอเข้าฮอล (สามารถให้สต๊าฟมาคอยจัดระเบียบถือป้ายแจ้งว่าอันไหนคือแถวสำหรับอะไรได้นะค้า) พอมองขึ้นไปข้างบนก็เห็นป้ายแจ้งว่าตรงนี้เป็น General Admission Zone A & B ตอนแรกเข้าใจว่าทางเข้า แต่พอเห็นเป็นเคาน์เตอร์ก็ อ่อ เป็นจุดแลกบัตร ก็เดินไปต่อแถวแบบไม่คิดอะไร (คือโดยปกติมันแปลว่าทางเข้า ถ้าบอกว่าเป็นจุดแลกบัตรน่าจะเขียนว่า register อะไรก็ว่าไป) จนต่อแถวไปสักพัก สต๊าฟมาแจ้งว่า ตรงนี้แลกได้เฉพาะ A ค่า แต่นี่ซื้อ B ก็เลยต้องย้ายไปอีกแถวสำหรับโซน B ทางที่ดีน่าจะทำแยกโซนให้ชัด ๆ ไปเลยมากกว่า

ระหว่างเข้าแถวแลกสายรัดข้อมือ

พอจัดการลงทะเบียนสแกนโค้ดแลกริสต์แบนด์และได้รับบัตรแข็งพร้อมปิ๊กกีตาร์เป็นของที่ระลึกอะไรเสร็จสรรพ หิวเบียร์จะไปซื้อก็ได้ข่าวว่าคิวยาวมาก และไม่สามารถนำเบียร์เข้าในอาคารได้ ส่วนถ้าเธอซื้อน้ำ เขาก็จะไม่ให้ฝาเธอเพราะกลัวพี่ไทยปาขึ้นไปบนเวที (แล้วถ้าสมมติคนมันจะปาขวด?) เลยซื้อเบียร์ต่อจากรุ่นพี่ที่กดเกิน ๆ มาแก้วนึง 130 บาท รีบดวดให้หมด จากนั้นถึงค่อยเข้าไปในฮอลช่วงใกล้สองทุ่มซึ่งเป็นเวลาที่ตามตารางแจ้งว่าโชว์จะเริ่ม

ในขณะที่โซนอื่น ๆ sold out ตรงโซน B ของเราที่ตัดสินใจซื้อโค้งสุดท้าย (เพราะเหลือแค่ราคาเดียว) ถือว่าโล่งมาก ยืนกันได้สบาย ๆ แต่จากทุกโซนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ามองไม่ค่อยเห็นอะไรเลย พอเข้าไปแล้วก็นึกว่าจะเลทประมาณ 5 นาทีพอให้อภัยได้ ก็รอจนเพลงเฟดเอาต์ไปหลายสิบเพลงให้คิดว่าวงจะขึ้นแล้วน่ะ ไม่จริง ไม่ต้องกรี๊ดให้เปลืองเสียง ปลงแล้วว่าโชว์น่าจะเริ่มก็ต่อเมื่อไฟดับ ซึ่งมันมาดับตอน 3 ทุ่มตรง… อันที่จริงถ้าจะเริ่ม 3 ทุ่มก็ควรแจ้งว่า 3 ทุ่ม เพราะหลายคอนเสิร์ตในปัจจุบันก็ค่อนข้างทำได้ตามมาตรฐานคือเริ่มตรงเวลา กลายเป็นว่าคนดูต้องไปรอในฮอลเป็นชั่วโมง

เสียงร้องเฮกึกก้องเมื่อวงปรากฏตัวบนเวที เพลงแรกที่ถูกนำมาเล่นคือ ’Sculptures of Anything Goes’ จากอัลบั้ม ‘The Cars’ ซึ่งเพิ่งถูกตัดมาเป็นซิงเกิ้ลล่าสุดเมื่อไม่กี่วันก่อน ต้องบอกว่าคิดถูกจริง ๆ ที่เลือกมาดู เพราะว่านอกจากฟังบนไวนิลแล้วก็คือฟังสดมันเพราะมาก ๆ จากนั้นวงก็ทำให้เราเป็นบ้าด้วยการเล่น ‘Brianstorm’ จากชุด ‘Favorite Worst Nightmare’ ปกติพออินโทรเพลงนี้ขึ้นจะเกิดการปะทะกันระหว่างคนดู (ยังจำบรรยากาศที่ Primavera ตอนวงทัวร์ ‘Tranquility Base Hotel & Casino’ ที่ฝรั่งตัวใหญ่ทุกคนมอชกันจนเรากระเด็นออกจากพิต สนุกมาก ไปย้อนอดีตกันได้ https://www.fungjaizine.com/article/live_review/primavera-sound-4) แต่โซนตรงเราคือนิ่งมาก โล่งมาก มีเพียงเราที่กระโดดและชายฉกรรจ์ที่ส่งเสียง จากนั้นวงก็ผ่อนความคลั่งลงมา เล่น ‘Snap Out of It’ จากชุด ‘AM’ และทักทายคนดู ก่อนจะบอกว่าเพลงต่อไปที่จะเล่นชื่อว่า ‘Crying Lighthing’ อีกเพลงโปรดของใครหลายคนจากอัลบั้ม ‘Humbug’ และเพลงสุดเท่จาก ‘Suck It And See’ คือ ‘Don’t Sit Down ‘Cause I’ve Moved Your Chair’ ที่ Alex Turner ร้อง laid back เพิ่มความเท่เข้าไปอีก

อเล็กซ์กล่าวขอบคุณและระหว่างที่เซ็ตสาย อินโทรคุ้นหูจาก ‘I Ain’t Quite Where I Think I Am’ จากอัลบั้มล่าสุดก็บรรเลงขึ้น เสียง ‘วาาาาา’ ที่ชวนขนลุกซู่กับกีตาร์เท่ ๆ ทำเอาเราตาลุกวาว ขณะเดียวกันก็ได้กลิ่นกัญชาลอยมา เข้าใจน้าว่าถูกกฎหมายแล้ว แต่ในฮอลก็เป็นที่ปลอดควันห้ามสูบ (ได้ยินว่าโซนอื่น ๆ มีคนหยิบบุหรี่มวนมาจุดกันเลย) เขาบอกว่าต่อไปเป็นเพลงจาก ‘AM’ LP ซึ่งพออินโทรขึ้น แฟน ๆ พร้อมใจกันยกมือถือขึ้นมาถ่ายเพลง ‘Why’d You Only Call Me When You’re High’ เวอร์ชันนี้อเล็กซ์ก็ร้องติด laid back อีกเหมือนกัน จากนั้นก็เป็น ‘Four Out of Five’ ที่วงนำมา re-arrange เป็นสไตล์น่ารักสดใสจนให้คะแนนไม่ถูก

“What a lovely crowd” อเล็กซ์หยอดคำหวานใส่ให้ละลายกันไปข้าง ก่อนจะเล่น ‘Arabella’ ที่แอบใส่ outro เพลง ‘War Pigs’ ของ Black Sabbath แล้วก็เล่น ’From The Ritz to the Rubble’ จากชุดแรก ‘Whatever People Say I Am, That’s What I’m Not’ ที่เราไม่คาดคิดว่าจะได้ฟังสด ๆ ทำเอาเต้นเป็นบ้าไปเลย จากนั้นพวกเขาก็ให้เราพักหายใจกันในเพลงชาติวัยหวาน ‘Cornerstone’ ที่ภาพฟรอนต์แมนใส่เสื้อคอเต่าสีแดงในมิวสิกวิดิโอลอยเข้ามาในหัว ขณะเดียวกันแฟนเพลงชาวไทยก็ยกมือถือขึ้นเปิดแฟลชสร้างทะเลดาวในฮอล บอกตรง ๆ ว่า ไม่คิดว่าจะได้เห็นภาพนี้ในคอนเสิร์ต Arctic Monkeys ที่ไหน Thailand Only

จบจากโมเมนต์ย้อนวัย ก็ได้เวลาที่เสียงปรบมือเข้าจังหวะกับมือถือถูกชูขึ้นพร้อมเพรียงกับ ‘Do I Wanna Know’ ตามด้วย ‘Do Me A Favour’ และ ‘Tranquility Base Hotel & Casino’ ขึ้นมานุ่ม ๆ เบสหนึบ ๆ เมโลดี้สุดติดหูขับกล่อมเราตลอดเพลง จากนั้นก็สลับไปเล่นเพลงเร็วแบบไม่ทันให้ปรับฟีลใน ‘Teddy Picker’ ช็อตฟีลไม่เป็นไร เพราะชอบ แล้วก็ไม่คิดว่าจะเล่น!!!! ตอนนี้เริ่มเห็นพี่ฝรั่งตัวใหญ่ 2-3 คนใกล้ ๆ เราเริ่มกอดคอโดดกันละ เห็นทีอีกไม่นานน่าจะไปร่วมวง จากนั้นก็เป็น ‘Pretty Visitor’ ที่เล่นกี่ทีก็เท่ คุณพี่คะ ผมเริ่มโดดแรงขึ้นและตะโกนคอแตก คาดว่าพรุ่งนี้เสียงหาย (แล้วก็หายจริง) พอวงขอบคุณไม่ทันไร ก็ง้าง ’I Bet You Look Good on the Dancefloor’ ตอนนี้คือไม่ไหว ที่โล่งจัด ขอวิ่งไปมอชกันละ แต่มอชได้แค่เบา ๆ แหละไม่มีคนมาแจมด้วยเท่าไหร่ (ฮา) พอจบช่วงเดือดวัยรุ่นพุ่งพล่าน ก็มาถึงช่วงสุดท้ายที่วงกล่าวขอบคุณอีกครั้งและบอกว่า นี่คือ ‘Body Paint’ เพลงจากอัลบั้มใหม่อีกเพลงที่ดนตรีช่วงท้ายขยี้กันยาว ๆ ได้แบบสวยสดงดงามตราตรึงกันไป

วงเดินลงจากเวทีพร้อมไฟหรี่ให้ทุกคนได้ปรบมือร้องเรียกสำหรับช่วง encore ไม่นานนักวงก็กลับขึ้นมาพร้อมด้วยอินโทรสุดหวานจากเพลง ‘There’d Better Be A Mirrorball’ ที่เป็นหนึ่งในเพลงที่เราตั้งตารอจะได้ฟังสด ๆ ที่สุดในครั้งนี้ แล้ววงไม่ทำให้ผิดหวังจริง ๆ ทั้งอารมณ์ที่ถ่ายทอดออกมา ฝีมือ ความละเมียดละไมที่ส่วนตัวรู้สึกว่าฟังจากไวนิลว่าดีกว่าเพราะความนุ่มลึกในมิติที่สุนทรีย์กว่าในสตรีมมิงแล้ว พอมาฟังสด ๆ ก็คือน้ำตาพรากไปเลย ตอนจบเพลงคือยิงไฟสปอตไลต์ใส่ดิสโก้บอลด้านบน เป็นภาพประทับใจช็อตเดียวก็คุ้มค่าแมนมาก ๆ จากนั้นก็เล่นเพลงฮิต ‘505’ ที่วงหยิบมา re-arrange ใหม่แบบที่ไม่ค่อยชิน แต่คนดูก็ยังจอย ๆ กันอยู่

“Thank you, but we have one question before you go” สิ้นเสียงอเล็กซ์ อินโทรคุ้นหูก็ขึ้นมาพร้อมเสียงกรี๊ดสุดฟินจากแฟนเพลงเบื้องล่าง เมื่อพวกเขาเล่น ‘R U Mine’ เป็นเพลงปิด ถือเป็นอันเสร็จสิ้นพิธีกรรมบูชาลิงขั้วโลก คือต้องบอกว่าเซ็ตลิสต์ทัวร์นี้รวมมิตรทุกยุค สายโจ๊ะยุคแรกได้ฟังเพลงฮิตเพลงแรร์มาหมด ฟูลฟิลมาก สายเสื้อหนังก็ได้คอนเทนต์เพลงดังครบ สายอาวุโสก็ได้ฟังสองบั้มล่าสุดหูเคลือบทองกันไป ถือว่าตอบโจทย์ทุกกลุ่มแฟน

แม้เราจะเติบโตมาในยุคที่ Arctic Monkeys เป็นวงอินดี้ร็อกวัยรุ่นสุดซ่า แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป พวกเขาก็เติบโตและนำเสนอแนวดนตรีที่พัฒนาขึ้นตามอายุและความสนใจ จนกลายมาเป็นวงรุ่นใหญ่ที่ทุกคนให้การยอมรับในฝีมือ ยิ่งการแสดงสดหลายต่อหลายครั้งที่ทำให้ทุกคนประจักษ์ว่าไม่ได้เป็นแค่วงอยู่ได้เพราะกองอวย เพราะหลายเสียงที่ไม่ได้เป็นแฟนแต่ก็อยากมาพิสูจน์เสียงลือเสียงเล่าอ้างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าวงเล่นเนี้ยบ เล่นดีจริง น่าเสียดายที่คนดูตรงโซนเรานิ่งไปนิดช่วงเพลงอัลบั้มเก่า ๆ เลยทำให้ความรู้สึกมวลรวมของเรากร่อย ๆ ไปบ้างเพราะไม่มีคนแหกปากไปด้วยกัน ซาวด์โดยรวมในคอนเสิร์ตดีกว่าที่คิดแต่เดินออกมาถึงกับหูดับ แต่ยังไงก็สรุปได้ว่า เพอร์ฟอร์แมนซ์ของวงคือประทับใจมากถึงมากที่สุด ถ้ามีโอกาสให้ดูอีกก็จะไปดูแน่นอน แต่จะไปดูที่ไหนค่อยว่ากันอีกที